ชื่อเรื่องย่อหลัก

เมื่อซองอุคเดินลากพลั่วเข้ามา และเห็นว่ากระเป๋าที่ซ่อนศพถูกเปิดออก ทำให้เขาระแวงว่ามีคนอยู่ในโกดังแห่งนี้ ซอคยองซึ่งแอบดูอยู่ ได้พยายามโทรหาโดวอนที่เพิ่งกระโดดออกมาจากรางรถไฟ เขายังมีอาการมึนงงเพราะบาดเจ็บที่ศีรษะและทำโทรศัพท์หล่นไว้ในราง เมื่อคว้าโทรศัพท์ได้ เขาจึงโทรกลับหาซอคยอง แม้จะเปิดระบบสั่นไว้ แต่ในความเงียบนั้น ทำให้ซองอุคได้ยินเสียงเรียกเข้า แต่ซอคยองไม่รับสาย แสงจากโทรศัพท์ของซอคยองทำให้ซองอุครู้ตำแหน่งที่เธอซ่อนตัว

โดวอนยังคงเดินโซเซ และเมื่อลูกน้องของเขาโทรรายงานว่าไม่พบซองอุคที่บ้าน โดวอนจึงสั่งให้เรียกหน่วยสืบสวนภาคและรีบตามมาที่สถานีมูคยอง เพราะเขาแน่ใจว่าศพที่ห้าต้องอยูที่สถานีนี้ หลังจากนั้นเขาก็พบเปลือกลูกอมอ๊กชุนตกอยู่บริเวณที่เขาสลบไป

เมื่อซองอุคและซอคยองเผชิญหน้ากัน และรู้ว่าเธอเห็นทุกอย่างแล้ว เขาจึงใช้พลั่วในมือทำร้ายเธอ ซอคยองต่อสู้กับเขาและโดนซองอุคบีบคอ ซอคอยองคว้าเศษขวดแตกและแทงเข้าไปที่ลำตัวของซองอุค โดวอนเดินตามไปจนคิดว่าซอคยองน่าจะอยู่ใกล้ๆ แล้ว เขาจึงยิงปืนขึ้นฟ้า อีจองมินและทีมจึงรีบตามมาตามเสียงปืน

โดวอนตามจนมาเจอซอคยอง เขาพุ่งเข้าไปต่อยซองอุคแบบไม่ยั้ง ซอคยองขอให้เขาหยุด เพราะเธอกำลังเล็งปืนเพื่อฆ่าซองอุคด้วยตัวเธอเอง เพราะเข้าใจว่าซองอุคคือฆาตกรที่ฆ่าพ่อเธอ เมื่อซองอุคบอกว่าไม่รู้จักฮันคยูแทพ่อของซอคยอง โดวอนจึงบอกความจริงกับซอคยองว่า จริงๆแล้ว พ่อของเขาเป็นคนที่ฆ่าพ่อของซอคยอง
และเหตุผลที่เขาหายไปจากเธอ 3 ปี นั้นก็เพราะเหตุผลนี้

อีจองมินซึ่งตามมาทีหลังจึงได้ยินทุกอย่าง ซอคยองไม่เชื่อในสิ่งที่โดวอนพูด และยิงปืนขึ้นฟ้าเพื่อให้โดวอนขอโทษที่เล่าเรื่องโกหก โดวอนจึงพูดถึงสร้อยคอของแม่ซอคยองที่อยู่ที่ข้าวของของพ่อเขา..

เมื่ออีซองอุคถูกตำรวจควบคุมตัวไป อีจองมินจึงตรวจสภาพศพที่พบในที่เกิดเหตุ เธอระบุว่าเพิ่งตายไม่นานเพราะศพยังไม่เน่าเปื่อย เธอเห็นรอยที่คอและสันนิษฐานว่าขาดอากาศหายใจ และกะโหลกก็โดนทุบเหมือนกับรายอื่นๆ

ก่อนจะวิ่งออกไปอาเจียน โดวอนสังเกตเห็นผู้ตายสวมแหวนพลอยสีเขียว ลูกน้องเก็บหัวกระสุนของซอคยองได้ โดวอนจึงเก็บไปและบอกว่าจะคุยกับผู้ใหญ่เอง

ตำรวจนำหมายมาค้นบ้านของซองอุค ขณะที่แม่ของเขากำลังเห็นข่าวว่าเขาถูกจับในข้อหาผู้ต้องสงสัยฆาตกรต่อเนื่อง เธอยืนยันว่าลูกเธอไม่ได้เป็นคนทำ

โดวอนรายงานหัวหน้าโอมีซุกว่า พบคราบอสุจิที่ชุดชั้นในขอเหยื่อรายที่ห้า นิติเวชกำลังตรวจกับดีเอ็นเอของผู้ต้องสงสัย และกำลังพยายามระบุตัวตนของเหยื่อ เธอจึงกำชับให้สอบปากคำตามระเบียบอย่างเคร่งครัด เพราะผู้ต้องสงสัยเป็นบุคคลไร้ความสามารถ

โดวอนบอกหัวหน้าว่าได้เล่าความจริงให้ซอคยองฟังหมดแล้ว หากซอคยองไปหา ก็ให้บอกไปว่าไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง เพราะเป็นการตัดสินใจของเขาเอง เขาพร้อมที่จะเผชิญกับผลที่จะตามมา โอมีซุกซึ่งรับผิดชอบคดีนี้เมื่อสิบสองปีก่อนพูดออกมาว่า หากเธอไม่ใช่สายสืบในตอนนั้น อะไรๆ จะต่างออกไปไหม


ซอคยองไปหาโอมีซุกที่บ้าน และไม่เชื่อว่าโอมีซุกรู้ความจริงแต่โกหกปิดบังเธอเหมือนโดวอน โอมีซุกจึงเรียกเธอเข้าบ้านเพื่อคืนของบางสิ่งให้ เมื่อคืนสร้อยคอของแม่ให้ซอคยองแล้ว โอมีซุกก็คุกเข่าต่อหน้าเธอและบอกว่า โดวอนเอามาฝากไว้หลังจากเสร็จงานศพของพ่อ และเธอเป็นคนห้ามโดวอนไม่ให้แพร่งพรายเรื่องนี้เอง เพราะเป็นห่วงโดวอนมากเกินไป ที่เห็นเขาทำงานหนักตั้งแต่สิบขวบเพื่อช่วยพ่อจ่ายหนี้ เพราะพ่อของเขาติดเหล้าหนัก กิจวัตรของโดวอนในตอนนั้นก็คือไปโรงพักทุกวันเพื่อพาพ่อออกจากห้องขัง หลังจากที่พ่อของเขาตายและปิดคดีพ่อของซอคยองแล้ว โอมีซุกไม่อยากเห็นโดวอนต้องใช้ชีวิตที่เหลือในฐานะของลูกชายฆาตกร

ซอคยองรู้สึกเสียใจและผิดหวังที่โอมีซุกไม่เห็นใจเธอตลอดสิบสองปีที่ผ่านมา ทั้งที่เธอเห็นโอมีซุกและโดวอนเป็นทั้งครอบครัวและของขวัญชิ้นสุดท้ายที่พ่อมอบให้ แต่โอมีซุกบอกว่าโดวอนอุทิศทั้งชีวิตให้ซอคยอง เพื่อเป็นการชดใช้บาปที่พ่อของเขาได้ก่อไว้

นิติเวชรายงานซอคยองว่าเหยื่อรายล่าสุดเสียชีวิตมาสิบวันแล้ว ด้วยสาเหตุถูกรัดคอจนขาดอากาศหายใจ และถูกทุบกะโหลกคล้ายกับคดีของพ่อเธอ

อีจองมินแปลกใจที่เห็นทรัพย์สินของเหยื่อรายหนึ่งมีเพียงต่างหูข้างเดียว แม่ของซองอุคนำต่างหูอีกข้างหนึ่งที่ซ่อนไว้ในผนังบ้าน มามอบให้โดวอนขณะที่เขากำลังสอบปากคำซองอุค เธอบอกว่าเป็นคนพบศพอยู่ในกระเป๋าใบแรกเมื่อสามปีก่อน ขณะที่ไปรับซองอุคจากศูนย์สวัสดิการชุมชนในคืนที่ฝนตก

 โดวอนบอกว่ามีลายนิ้วมือของซองอุคอยู่บนกระเป๋าทุกใบและรู้ตำแหน่งที่ฝังศพ แม่ของเขาจึงเล่าว่า หมอระบุว่าซองอุคเป็นโรคหลงผิด จะมีความกลัวและคุ้มคลั่งทุกครั้งที่เห็นอะไรตาย และซองอุคเป็นคนฝังศพเหล่านั้นเอง ส่วนศพรายอื่นๆที่อยู่ในกระเป๋า แม่ของเขาไม่รู้เรื่องเพราะซองอุคเป็นคนเอาไปฝัง ทันใดนั้นเองคิมจินอูก็โทรบอกโดวอนว่า ผลตรวจดีเอ็นเอไม่ตรงกับผู้ต้องสงสัย แม่ของซองอุคยังคงยืนยันว่าลูกของเธอไม่กล้าฆ่าใครแน่นอน

เจ้าหน้าที่ทุกคนต่างพากันมึนงง ที่ไม่พบหลักฐานใดๆ จะมัดตัวอีซองอุคได้เลย แม้แต่ดีเอ็นเอก็ไม่ตรง อีซองอุคยอมรับกับแผนกจิตวิทยาว่าเขาเป็นคนฝังศพแต่ไม่ใช่ฆาตกร

โดวอนกลับไปที่สถานีมูคยองอีกครั้งเพื่อหาร่องรอย เขาครุ่นคิดว่าฆาตกรใช้วิธีไหนที่นำศพใส่กระเป๋าและนำมาทิ้ง โดยที่ล้อกระเป๋าไม่มีรอยถลอกเลย เมื่อนึกถึงเหตุการณ์ที่เขาเกือบโดนรถไฟชน ทำให้เขาคิดได้ว่านั่นอาจเป็นวิธีของฆาตกร

อีจียองคือเหยื่อรายสุดท้ายที่ถูกพบ ตำรวจจึงไปสอบถามพยาบาลที่ดูแลยายของอีจียองซึ่งเป็นโรคสมองเสื่อมอยู่ที่สถานพักฟื้นคนชรา เธอให้การว่าพบอีจียองครั้งสุดท้ายเมื่อสองเดือนที่แล้ว เมื่อเธอรู้ว่าอีจียองถูกฆ่าตายเมื่อสิบวันก่อน จึงนำสลิปการโอนเงินเดือนเมื่อสองวันก่อนให้ตำรวจดู ตำรวจตรวจสอบพบว่าเป็นการโอนเงินจากตู้เอทีเอ็มที่ร้านสะดวกซื้อโดยใช้ชื่ออีจียอง เมื่อดูภาพจากกล้องวงจรปิดแล้ว โดวอนเห็นคนโอนเงินซึ่งใส่เสื้อคลุม ได้วางแก้วกาแฟไว้บนถังขยะ

ซอคยองไปที่ห้องเก็บหลักฐานและเจอต่างหูที่เหมือนกับของแม่เธอ จึงถามโดวอนว่าพ่อของเขาเอาเครื่องประดับไปทั้งกล่องหรือเปล่า เพราะมันหายไป เขาจึงเล่าว่าในวันเกิดเหตุ พ่อของเขาไปซ่อมหม้อน้ำที่บ้านของเธอ และลืมโทรศัพท์ไว้ พ่อของเธอจึงโทรมาบอกเขา จากนั้นเขาจึงไปตามพ่อ แต่ก็พบเป็นศพโดนชนแล้วหนี โดยที่มีโทรศัพท์อยู่ข้างตัวพ่อ

โดวอนไม่แน่ใจว่าพ่อขโมยมาแล้วทำหล่นหายระหว่างวิ่งหนี หรือว่าเอาไปซ่อนไว้ที่ไหนสักแห่ง เพราะพ่อไปด้วยความเมามาย โดวอนเล่าด้วยความเจ็บปวดและไม่ขอให้ซอคยองให้อภัยเขา ก่อนจะเดินจากไป ซอคยองถามว่า ที่เคยอยู่เคียงข้างเธอมาตลอด เคยเป็นความรักสักเสี้ยววินาทีไหม โดวอนตอบว่าตลอดเวลาที่อยู่เคียงข้างเธอ สิ่งเดียวที่เขาหวังก็คือ อยากให้พ่อมีชีวิตอยู่เพื่อชดใช้ในสิ่งที่ทำ เพราะเขารู้สึกผิดและติดค้างเธอมาตลอด โดวอนขอร้องไม่ให้เธอยุ่งกับเขาอีก ซอคยองคืนนาฬิกาที่เคยซื้อให้เขา และไม่คิดว่าเขาจะยังเก็บไว้ เธอจึงบอกว่าสักวันเมื่อได้คุยกันอีก หวังว่าเขาจะพูดความจริงกับเธอ

ซอคยองไปที่สถานีตำรวจมูคยองเพื่อสอบปากคำอีซองอุค เธอไม่เชื่อว่าพ่อของโดวอนคือฆาตกร เพราะเขาตายไปนานแล้ว แต่เหยื่อรายล่าสุดยังคงใส่เครื่องประดับของแม่เธออยู่ เธอคิดว่าแม่ของซองอุคโกหกตำรวจและซองอุคคือคนร้าย ซอคยองพยายามคาดคั้นให้เขาตอบ ซองอุคมองไปนอกหน้าต่างและเห็นฝนตก เขาเกิดความหวาดกลัวและพูดว่า ฝนตก กระเป๋า ศพ คนคนนั้นกำลังนั่งรถไฟมาที่สถานีมูคยอง ซอคยองบอกหัวหน้าโอมีซุกว่าพ่อของโดวอนไม่ใช่ฆาตกร เธอแน่ใจว่าฆาตกรที่นำศพมาทิ้งก็คือคนเดียวกับคนที่ฆ่าพ่อของเธอ

เมื่อซอคยองไปที่สถานีรถไฟ เธอหยิบตั๋วที่เก็บได้คราวก่อนขึ้นมาดู และแปลกใจที่เห็นตั๋วระบุวันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2020 ต้นทาง โซล ปลายทาง มูคยอง ทั้งๆที่สถานีแห่งนี้ถูกปิดไปตั้งแต่ปี 2015 เมื่อนาฬิกาสถานีเดินไปที่เวลา 21.35 น. ไฟสัญญาณ และไม้กั้นก็เริ่มทำงานอีกครั้ง รถไฟแล่นผ่านซอคยองด้วยความเร็ว จนทำให้ตั๋วในมือปลิวลอยไป

ซอคยองเข้าไปสัมผัสรถไฟที่เพิ่งจอดและพูดออกมาว่าเป็นไปไม่ได้ บนขบวนรถไม่มีผู้โดยสารเลย นอกจากชายชุดดำที่กำลังลากกระเป๋าใส่ศพ ขณะที่ซอคยองกำลังยืนงงและนึกถึงคำพูดของซองอุคก่อนหน้านี้ เธอต้องหันกลับไปดูเมื่อได้ยินเสียงกระเป๋าที่มีคนโยนลงมา ซอคยองกำลังจะเปิดกระเป๋า แต่ต้องหยุดลงทันทีเมื่อเห็นปืนกำลังจ่อที่เธอ หลังจากนั้นก็เกิดเสียงปืนดังขึ้น


อีจองมินตรวจลายนิ้วมือบนแก้วกาแฟที่พบ ปรากฏว่าเป็นลายนิ้วมือเดียวกันกับศพของอีจียอง ขณะที่อีจียองอีกคนหนึ่งมาหาโดวอนที่ทำงานในคืนนั้นและให้เขาดูบัตรประจำตัวของเธอ โดวอนนึกถึงร่องรอยที่คอของศพ แต่เมื่อมองไปที่คอของอีจียองคนนี้ กลับไม่เห็นอะไรเลย สาเหตุที่อีจียองมาที่นี่ก็เพราะป้าที่ดูแลยายของเธอ เล่าว่าตำรวจบอกว่าเธอตายไปแล้ว อีจียองแปลกใจที่เห็นรูปศพตัวเอง โดวอนจึงโทรให้คิมจินอูเช็กหากว่าเธอมีฝาแฝด และเขาได้รับรายงานเรื่องลายนิ้วมือบนแก้วกาแฟว่าเป็นของอีจียองที่ตายไปแล้ว ซึ่งแม้จะมีฝาแฝดแต่ลายนิ้วมือก็ไม่อาจเหมือนกันได้

โดวอนรีบออกไปที่สถานีรถไฟมูคยอง หลังจากที่ได้รับแจ้งว่ามีเสียงปืน รปภ. ยืนยันว่าไม่มีใครเข้ามา นอกจากอัยการหญิง โดวอนเปิดกระเป๋าดูและเห็นศพอยู่ข้างในซึ่งไม่ใช่ซอคยอง เขาจึงเดินตามรอยเลือดไปจนกระทั่งพบเธอเป็นศพ ขณะที่อีกโลกหนึ่ง มีผู้โดยสารหลายคนลงมาจากรถไฟขบวนนั้นและคนที่เดินลงมาจากรถไฟก็คือโดวอนอีกโลกนึง สายตาและท่าทางของโดวอนที่โลกนี้ไม่เหมือนกับอีกโลก..